มนุษย์ไม่รู้ตัวว่า ตนมีสติแค่ครึ่งเดียว คือไม่มีความระลึกรู้เต็มร้อย รู้อะไรครึ่งเดียวจริง ๆ กิน ยืน เดิน นั่ง นอน ทำการงานก็ไม่มีความรู้ตัวชัดเจน ไม่มีสติจดจ่อ ปล่อยให้จิตไหลล่องลอยตลอด เมื่อรู้ไม่ชัดก็ทำให้ใช้ชีวิตอยู่บนสีเทา คือเมามายา หลงมัวเมาอยู่ในความล่อลวงของกิเลส แม้จะถูกบังคับบงการให้จิตดิ้นรน ก็ยังไม่รู้ว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่จริง ๆ ไม่ใช่ธรรมชาติ เป็นการปั่นกระแสให้จิตติดจมในห้วงอารมณ์ที่เขาจูงจมูกเราไปทั้งนั้น
กิเลสกลัวการรู้ชัดรู้แจ้งเห็นจริง จึงต้องทำให้จิตคนเป็นสีเทา คลุกเคล้าอยู่ด้วยมายา เพราะดำไปมันก็ชัดว่าเลว ขาวสว่างก็จะพ้นจากอำนาจกิเลส สีเทานี่แหละเหมาะ ให้ใช้ชีวิตแบบรู้สึกว่า ไม่ดีเลิศและไม่เลวร้าย แต่ผลสุดท้ายก็ตายตอนจบ เจ็บจมอยู่ในกองทุกข์
นี่แหละคือ อวิชชา ที่เมารัก เมาโลภ เมาหลง นี่คือสีเทาทั้งสิ้น คนเมาแล้วรู้ตัวว่าเมา ยังอาจมีเข็ดหลาบ แต่คนไม่รู้ตัวว่าเมานี่สิหนัก เพราะจะหลงทางต่อไปเช่นนี้ หายเมาจริง ๆเมื่อไหร่ ก็ตาสว่างเมื่อนั้น แต่กว่าจะหายเมาชีวิตเราอาจต้องจ่ายราคาแพงมาก คือต้องจ่ายด้วยชีวิตทั้งชีวิต เพราะเพิ่งจะรู้ตัวเมื่อสาย ตอนที่ยังมีกำลังมีแรงก็ไม่คิดขวนขวายหาธรรม ได้แต่หาความบันเทิง พอใกล้จะตายแล้วค่อยออกมาสู่ทางธรรม ในวันที่จิตก็หนัก กายก็ยันไม่ไหว แล้วจะทำอะไรได้ เมื่อตั้งอยู่บนความประมาท มัวใช้ชีวิตอยู่บนวิถีสีเทา ก็ต้องมีที่ไปแบบมืด ๆ เมา ๆ อย่างไม่จบสิ้นนั่นเอง …..
อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล